“Same Same…But Different” เมนูที่มีตัวตน รสชาติเหมือนเดิม แต่หน้าตาเปลี่ยนไป ทันสมัยมากขึ้น โดยเชฟกฤช (แต่เราว่ารสชาติเลอค่ามากเลย)
เชฟกฤช ผู้ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากการเดินทาง ค้นหาส่วนผสมพิเศษ และสูตรอาหารประจำภูมิภาคของประเทศไทย นำกลับสู่ห้องอาหาร Basil และวันนี้ เรามาชวนเพื่อน ๆ เพลิดเพลินไปกับการตีความที่เป็นเอกลักษณ์และทันสมัยของอาหารไทย 9 เมนู ที่ Basil กันค่ะ
ซึ่งจะมีเครื่องดื่มพิเศษ เป็น Kombucha Mango Delight แก้วละ 250 บาท ต้องบอกว่าสดชื่นโคตร ๆ กันเลยทีเดียว
อาหารจานแรก ไข่แมงดาแพทอด และไอศครีมรสมะม่วงเปรี้ยว เชฟเล่าว่า บางคนอาจจะไม่เปิดใจกับไข่แมงดา เชฟจึงทอดไข่แมงดาให้เหมือนลักษณะถั่วแผ่นที่ขายอยู่ในปีปร้านขายของชำ (เป็นไงล่ะ จากไข่แมงดาที่น่ากลัวสำหรับบางคน กลายเป็นถั่วแผ่นที่กินง๊ายง่าย) วางยำหอมแดงไว้ด้านบน โป๊ะด้วย ซอร์เบท์มะม่วงดิบ เมื่อทานเมนูนี้ เรารู้สึกเลยว่า มันกรอบนุ่ม ร้อน เย็น ให้ความสดชื่น บอกเลย เมนูแรก เรียกความสดชื่นมากกกกก พร้อมสำหรับเมนูต่อไปเลย
เมนูที่ 2 เห่าดงดิบ เมนูนี้คล้าย ๆ น้ำตก เชฟเล่าว่า set นี้ถูกคิดมาในช่วงฤดูฝน เวลาเราเข้าป่า ล่าสัตว์ มาทำอาหาร ก่อไฟ ไฟอาจจะไม่ติด ทำให้เมนูนี้อาจจะต้องกินแบบดิบ ๆ บ้าง (ช่างมีสตอรี่) อันนี้ใช้เนื้อสันในค่ะ แต่สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่ทานเนื้อ ก็จะใช้ทูน่าแทนนะคะ เป็นอีกเมนู ที่เรากินแล้ว กลมกล่อม รสชาติเข้มข้นกำลังดี ที่มันแปลกก็คือ กินแล้วให้ความรู้สึกสดชื่นเหมือนจานแรกเลยอ่ะ แม้จะรสชาติคนละแบบ แต่ก็ยังคงความสดชื่น (พยักหน้าแบบหน้าทึ่ง) รอความทึ่งของสตอรี่จานต่อไปเลยเนี่ย
เมนูที่ 3 ต้มยำกุ้งลายเสือ มันกุ้ง และเนื้อมะพร้าวกะทิ เชฟสุดครีเอทีฟบอกว่า มะพร้าวกะทิเปรียบเหมือนฟัวกราส์ของมะพร้าว (คิดได้ไง ทึ่งอีกละ) ให้รสชาติและรสสัมผัสที่ดี ซึ่งปกติมะพร้าวกะทิ เราจะทานกันแต่กับขนม แต่เชฟกฤชลองเอามาประยุกต์ทำเป็นเวอร์ชั่นอาหารคาวดูซึ่งมันก็ไปกันได้ดีกับต้มยำ นอกจากนี้ ต้มยำส่วนใหญ่ จะใช้มันกุ้งจากส่วนหัว แต่ว่า เชฟกฤชใช้ทั้งหัวกุ้งเลย เอาไปปั่น ทำให้ต้มยำเมนู ได้รสกุ้งแบบชัดเจน แน่น ๆ เต็ม ๆ เลย ถ้าดมกลิ่น ก็จะคล้าย ๆ พวกขนมรสกุ้ง อะไรอย่างเงี้ยะ ก่อนทานอย่าลืมคน ๆ เพื่อให้พิวเรละลายไปกับน้ำนะคะ เป็นต้มยำที่รสชาติกลมกล่อมกำลังดีค่ะ มีรสสัมผัสของมะพร้าวกะทิที่มัน ๆ กลิ่นกุ้งเน้น ๆ ลงตัวหมด
เมนูที่ 4 ปลาเก๋าทอดขมิ้นกับยำสาหร่ายรวม เชฟเล่าว่า ปลาเก๋าที่ใช้เป็นปลาเก๋าที่จับจากท้องถิ่น หมักด้วย 3 เกลอคือ กระเทียม พริกไทย รากผักชี เสริมด้วยขมิ้น นอกจากหมักที่ตัวปลาแล้ว ยังใช้ทำซอสด้วย และปกติทั่วไป เราจะทานปลานี้กับน้ำจิ้มซีฟู๊ด แต่ด้วยความเป็นเชฟกฤชจะไม่อยากให้เราทานแบบเดิม ๆ ค่ะ ก็จะเคียงด้วยยำสาหร่ายกับคะน้า และด้านบนวางด้วยดอกคะน้าอีกที ถึงเวลาหม่ำเข้าปาก เนื้อปลานี่นุ่มมากกก ซอสขมิ้นคือละมุนสุด และที่โดนมากคือหนักปลากรอบมว๊ากกกกก มันคือสุดอ่ะค่ะ ทานกับยำสาหร่ายเข้ากันมาก ๆ ฟินกันไปกับเมนูที่ 4 ไปต่อเมนูที่ 5 กันเลยค่ะ
เมนูที่ 5 ยำกากหมูเจียว องุ่น และผักชีใบเลื่อย บอกเลยเป็นเมนูที่รอคอย ฮ่า ฮ่า ฮ่า กากหมูเวอร์ชั่นของเชฟกฤชคือ ความกรอบมันของกากหมู ทานคู่กับองุ่นและมะเขือเทศให้ความชุ่มฉ่ำและหวานเปรี้ยว ทานคู่กับผักชีใบเลื่อย มันเข้ากันมาก เมนูนี้เชฟบอกว่า เป็นเมนูที่เชฟอยากกินมาตั้งแต่เด็กแล้ว พวกเรากินแล้ว รู้สึกว่ามันโคตรฟินเลยค่ะ กากหมูนี้กรอบฟูมากๆๆๆๆๆๆๆ องุ่นและมะเขือเทศคือดีงาม สดชื่นจริง ๆ กินมาถึงเมนูที่ 5 แล้ว แปลกใจว่า ทำไมทุกเมนูกินแล้วมันสดชื่นจัง ไปต่อเมนูที่ 6 เลยจ้า
เมนูที่ 6 ซี่โครงหมูรมควันเคลือบซอสแกงฮังเล และมะม่วงสะนาบ เมนูนี้แตกต่างจากทั่วไปตรงที่ ปกติ ซี่โครงหมูจะทาซอสบาร์บิคิว แต่ของเชฟจะทาซอสแกงฮังเล และแยกกระเทียมดองออกมาเป็นคล้ายๆ มายองเนส (กระเทียมปกติจะอยู่ในส่วนผสมของแกงฮังเล) และทานคู่กับมะม่วงสะนาบ ซึ่งคือ ยำมะม่วงแบบไทยใหญ่มีส่วนผสมของถั่วและงา (เชฟเปรียบสิ่งนี้ว่าคล้ายๆ กับ โคลสลอร์ของอเมริกัน) คือ สตอรี่ของเมนูนี้ เชฟสรุปว่า จานนี้องค์ประกอบเหมือนอเมริกันบาร์บิคิว แต่รสชาติทุกอย่างมันคืออาหารไทย โอ้ยยยย สตอรี่ดีงาม รสชาติก็ดีงามตามสตอรี่เลยจ้า ซี่โครงนี่เปื่อยมาก เนื้อหลุดจากกระดูกได้อย่างง่ายดาย ซอสกระเทียมดองคือแปลกเด็ด ละมุน ยำมะม่วงสะนาบนี่เคียงได้เข้ากันมากกกกก
เมนูที่ 7 ซอร์เบท์ฝรั่งแช่บ๊วย โรยด้วยบ๊วยเค็มกับพริกเกลือ คอนเซ็บต์คือไอศครีมจากรถเข็นผลไม้นั่นเอง แต่เชฟนำกิมมิกแบบฝรั่งมาเล่น ด้วยการ ฝนๆๆๆ บ๊วยเค็มใส่ลงไปในไอศครีม เมนูนี้คือหอมมากกกกก รสชาติก็แสนอร่อย หอม หวาน มัน เค็ม โอ้ยยยย มันเบรกอาหารทั้ง 6 เมนูได้ และพร้อมจะไปต่อเมนูที่ 8 กันเลยคะ เหมือนเราจะเริ่มใหม่ได้เลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า
เมนูที่ 8 แกงคั่วหอยมะระ เดินทางมาถึงเมนูสุดท้ายในหมวดอาหารคาวค่ะ เชฟเล่าว่า ไปสัตหีปแล้วไปเจอหอยมะระในร้านอาหารร้านหนึ่งที่เขาเลี้ยงไว้เมื่อลองทานแล้ว มันจะคล้ายๆ เป๋าฮื้อ จึงเกิดไอเดียนำมาลองทำเป็นแกงคั่วหอยมะระ ซึ่งเชฟบอกว่ามันก็เข้ากันได้เป็นอย่างดี เราก็กินแล้ว มันก็ยิ่งกว่าเข้าได้นะ มันอร่อยมาก ละมุนละไม หอยมะระ แปลกใหม่ไม่เคยกิน ก็กินได้อย่างสบาย ไปปิดท้ายเมนูหวานกันต่อเลยค่ะ
เมนูที่ 9 ทาร์ตมะม่วงหาวมะนาวโห่ดองและแยม เชฟอธิบายว่า คำว่าทาร์ตก็คือเมนูขนมของทางยุโรป (ส่วนใหญ่จากมาฝรั่งเศส) แต่ทาร์ตของเชฟจะทำจากขนมกลีบลำดวนแทนนะจ๊ะ บนทาร์ตจะเป็นไอศครีมกะทิ ทานกับแยมที่ทำจากมะม่วงหาวมะนาวโห่ที่ดองแล้ว เชฟบอกว่า มะม่วงหาวมะนาวโห่ ถ้ายังไม่ดองรสชาติมันรุนแรง อาจจะทานยากไปสักหน่อย แล้วก็โรยด้านบนด้วย มะม่วงหาวมะนาวโห่แช่อิ่ม (ก็คือดองกับน้ำผึ้ง) กินแล้วมันก็ปิดท้ายด้วยความสดชื่นอีกเมนูนึงค่ะ เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม ดีงาม ทานยามค่ำคืน ฟินๆ หลับฝันดีกันไปเลยค่ะ
9 เมนู แบบมีสตอรี่ที่สร้างสรรค์ พร้อมรสชาติที่ดีงาม ในราคา 1,950++
สำหรับรายการแบบ 7 คอร์สเมนูก็มีนะครับ ราคาที่ 1,750++ แต่จะไปทั้งทีไปจัดเก้าเมนูไปเลยดีกว่า
รายละเอียดเพิ่มเติม เชิญที่เว็บไซด์ของทางร้านครับ แนะนำให้จองกันก่อนนะเพราะคนไปเยอะ
https://www.basilbangkok.com/
- ร้านเปิดทุกวันมื้อเย็น ตั้งแต่เวลา 18.00 – 22.30 hours
- และวันอาทิตย์มื้อพิเศษ Sunday Jazzy Brunch 12.00 – 15.00 hours